Go ตามด้วย gerund ที่ตัวบ่งชี้หมายถึงการดำเนินการกิจกรรมยกตัวอย่างเช่น
1. Did you go shopping yesterday ?
2. I went swimming last week.
3. Bob hasn't gone fishing in years.
โดยจะต้องไม่มี to ระหว่าง go และ gerund
Incorrect :Did you go to shopping yesterday ? ผิด
คำทั่วไปที่ต้องเติม ing เมื่อตามหลัง go
go boating go dancing go jogging go (window) shopping go(water) skilling
go bowling go fishing go running go sightseeing go skydiving
go camping go hiking go sailing go (ice) skating go swimming
วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557
Vocabulary about Good Luck or Bad Luck
Vocabulary about Good Luck or Bad Luck
มาท่องคำศัพท์วันละ 10 คำกันเถอะ วันนี้ผมจะเอาคำศัพท์ที่เกี่ยวกับโชคดี โชคร้าย มา 10 คำนะครับได้แก่
1. Approximately แปลว่าโดยประมาณ
เช่น I have approximately $40 in my bank account.
2. Rubs แปลว่า ถู หรือ นวด
เช่น She rubs lotion on her hand every day to keep them soft.
3. in disguise แปลว่า เหมือนหรือคล้ายคลึง
Ex. I think black cat ware witches in disguise.
4. Grave แปลว่า หลุมศพ
เช่น I going to put flowers on my brother's grave every week.
5. Superstitions แปลว่า ความเชื่อในโชคลาง หรือความเชื่อในเรื่องผีสางเทวดา
เช่น A common superstitions in The U.S. is that it's bad luck to walk under a ladder.
6. Spit แปลว่า ถุยน้ำลาย
เช่น Most American think it is rude spit in front of other people.
7. Theory แปลว่า ทฤษฎี หรือ สมมุติฐาน
เช่น There are a lot of theories about why, but most people thing these beliefs give a person a feeling of control over his or her life.
8. Hind แปลว่า ส่วนหลังของสัตว์สี่เท้า
เช่น It should be the left hind foot,and the rabbit has to be caught in graveyard for the foot to be lucky.
9. Cemeteries แปลว่า สุสาน
เช่น Another common superstition in that if you whistle near a cemeteries, you will be safe from the ghost inside.
10. get out the way แปลว่า ทำหรืออธิบายบางสิ่งครั้งแรก บ่อยครั้งที่เป็นเรืองแย่หรือเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ
เชน On first day of school, the teacher get some basic rules out the way we have to have our books every day, and our cell phones have to be turned off.
มาท่องคำศัพท์วันละ 10 คำกันเถอะ วันนี้ผมจะเอาคำศัพท์ที่เกี่ยวกับโชคดี โชคร้าย มา 10 คำนะครับได้แก่
1. Approximately แปลว่าโดยประมาณ
เช่น I have approximately $40 in my bank account.
2. Rubs แปลว่า ถู หรือ นวด
เช่น She rubs lotion on her hand every day to keep them soft.
3. in disguise แปลว่า เหมือนหรือคล้ายคลึง
Ex. I think black cat ware witches in disguise.
4. Grave แปลว่า หลุมศพ
เช่น I going to put flowers on my brother's grave every week.
5. Superstitions แปลว่า ความเชื่อในโชคลาง หรือความเชื่อในเรื่องผีสางเทวดา
เช่น A common superstitions in The U.S. is that it's bad luck to walk under a ladder.
6. Spit แปลว่า ถุยน้ำลาย
เช่น Most American think it is rude spit in front of other people.
7. Theory แปลว่า ทฤษฎี หรือ สมมุติฐาน
เช่น There are a lot of theories about why, but most people thing these beliefs give a person a feeling of control over his or her life.
8. Hind แปลว่า ส่วนหลังของสัตว์สี่เท้า
เช่น It should be the left hind foot,and the rabbit has to be caught in graveyard for the foot to be lucky.
9. Cemeteries แปลว่า สุสาน
เช่น Another common superstition in that if you whistle near a cemeteries, you will be safe from the ghost inside.
10. get out the way แปลว่า ทำหรืออธิบายบางสิ่งครั้งแรก บ่อยครั้งที่เป็นเรืองแย่หรือเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ
เชน On first day of school, the teacher get some basic rules out the way we have to have our books every day, and our cell phones have to be turned off.
วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557
หลักการใช้ Past Simple แตกต่างกันการใช้ Past Continuous Tense อย่างไร เรื่องง่าย ๆ ที่เข้าใจยาก
หลักการใช้ Past Simple แตกต่างกันการใช้ Past Continuous Tense อย่างไร เรื่องง่าย ๆ ที่เข้าใจยาก
สำหรับผมแล้วการใช้แกรมม่า คือเรื่องยากสำหรับผม เรื่องการใช้ Past simple และ การใช้ Past Continuous Tense ก็คือเรื่องยากสำหรับผมเรื่องหนึ่งเช่นกัน เนื่องจากไม่รู้ว่าเมื่อไรล่ะที่จะใช้ Simple past หรือ Past Continuous Tense ดังนั้นผมจึงอยากจะมาแชร์วิธีการสังเกตุแบบสรุป ๆ ให้ฟัง ก่อนอื่นก็ขออธิบายก่อนว่าแต่ละ Past มันคืออะไร
Past Simple
คือประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและไม่สนว่าจบลงเมื่อใด(แต่ต้องจบลงในอดีต)
Past Simple
คือประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต แล้วต้องจบลงในอดีต
เลือกเรียนภาษาอังกฤษ ESL Language in Los Angeles เลือกเรียนที่ Hollywood College ครับ
สำหรับผมแล้วการใช้แกรมม่า คือเรื่องยากสำหรับผม เรื่องการใช้ Past simple และ การใช้ Past Continuous Tense ก็คือเรื่องยากสำหรับผมเรื่องหนึ่งเช่นกัน เนื่องจากไม่รู้ว่าเมื่อไรล่ะที่จะใช้ Simple past หรือ Past Continuous Tense ดังนั้นผมจึงอยากจะมาแชร์วิธีการสังเกตุแบบสรุป ๆ ให้ฟัง ก่อนอื่นก็ขออธิบายก่อนว่าแต่ละ Past มันคืออะไร
Past Simple
คือประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและไม่สนว่าจบลงเมื่อใด(แต่ต้องจบลงในอดีต)
การใช้รูปประโยคคือ S+Verb(ed) or irregular(กริยาสามช่องในรูปของอดีต)
ยกตัวอย่างเช่น
She went to the door. ในประโยคนี้ กริยาเป็น Irregular ดังนั้นต้องเปลี่ยนรูปจาก go เป็น went
I lived in Bangkok for 10 years. ในประโยคนี้ กริยาเป็นทั่วไป ดังนั้นต้องไม่เปลี่ยนรูปแต่เติม ed ดังนั้นจาก live เปลี่ยนเป็น lived.
คือประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต แล้วต้องจบลงในอดีต
การใช้รูปประโยคคือ S+was/were+ Verb(-ing)(กริยา+ing)
ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและมีเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ใช้เวลาสั้นกว่าเกิดขึ้นขัดจังหวะ เช่น คนกำลังกินข้าว และมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คนกำลังกินข้าว เป็นเหตุการที่กำลังเกิดขึ้นก่อนแล้ว และกำลังดำเนินอยู่ แต่ขณะกำลังดำเนินอยู่นั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นแล้วในอดีต จะใช้เป็น Past Continuous Tense และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาขัดจังหวะ จะใช้เป็น Past Simple Tense
ดังนั้นจึงเขียนได้ว่า
I was eating,when a telephone rang.
คราวนี้มาเข้าสู่เทคนิคการสังเกตุกัน
เทคนิคแรก
ประโยคที่อยู่หลัง while, as (ขณะที่) ใช้ Past Continuous Tense
ประโยคที่อยู่หลัง when (เมื่อ, ตอนที่) ใช้ Past Simple
- I was having dinner when the phone rang.
ฉันกำลังกินข้าว ตอนที่โทรศัพท์ดัง - While I was having dinner, the phone rang.
ขณะที่ฉันกำลังกินข้าว โทรศัพท์ก็ดัง
- When the police arrived, we were sleeping.
เมื่อตำรวจมาถึง พวกเรากำลังนอนหลับ - The police arrived as we were sleeping.
ตำรวจมาถึง ขณะที่พวกเรากำลังนอนหลับ
- As we were walking to school, we saw a big elephant.
ขณะที่พวกเรากำลังเดินไปโรงเรียน พวเราเห็นช้างตัวใหญ่ - We were walking to school when we saw a big elephant.
พวกเรากำลังเดินไปโรงเรียน ตอนที่พวเราเห็นช้างตัวใหญ่
เทคนิคที่ 2
- คำกริยาที่นำมาใช้กับ Past Continuous Tense ต้องเป็นกริยาที่สามารถแสดงการกระทำได้นาน จากตัวอย่างด้านบนระหว่าง นอน กับ มาถึง อะไรทำได้นานกว่ากัน ถูกต้อง นอนเป็นสิบชั่วโมงยังได้เลย คำกริยาที่สามารถทำได้นาน และเห็นมาออกข้อสอบบ่อยๆ เช่น
do, drive, eat, have, read, sing, sit, sleep, swim, teach, write, clean, cook, cry, dance, play, rain, walk, wash, watch - คำกริยาที่นำมาใช้กับ Past Simple ส่วนใหญ่เป็นกริยาที่เกิดขึ้นแป๊บเดียว ไม่สามารถทำได้นาน จากตัวอย่างด้านบนระหว่าง นอน กับ มาถึง อะไรทำได้นานกว่ากัน ถูกต้อง มาถึง มันเกิดแค่แป๊บเดียว คำกริยาที่ไม่สามารถทำได้นาน เช่น take, start, arrive, see, hear, smell, hit, come, ring, cut (กริยา 3 ช่อง คลิกที่นี่)
- I was having dinner when the phone rang.
ฉันกำลังกินข้าวเย็น ตอนที่โทรศัพท์ดัง
- When the police arrived, we were sleeping.
เมื่อตำรวจมาถึง พวกเรากำลังนอนหลับ
- As we were walking to school, we saw a big elephant.
ขณะที่พวกเรากำลังเดินไปโรงเรียน พวเราเห็นช้างตัวใหญ่
- While they were reading, they heard a bird singing in the tree.
ขณะที่พวกเขากำลังอ่านหนังสือ พวกเขาได้ยินนกร้องเพลงอยู่บนต้นไม้
- She was swimming when the shark came.หล่อนกำลังว่ายน้ำอยู่ เมื่อตอนที่ฉลามมา
- We were washing the car when it started to rain.
พวกเรากำลังล้างรถอยู่ ตอนที่ฝนเริ่มตก
- She took my book as I was playing football.
หล่อนเอาหนังสือฉันไป ขณะที่ฉันกำลังเล่นฟุตบอล
- A car hit the dog while it was running on the road.
รถยนต์คันหนึ่งชนหมา ขณะที่มันกำลังวิ่งบนถนน
- I was having dinner when the phone rang.
- My mom cut her finger while she was cooking.
แม่ของฉันทำมีดบาดนิ้ว ขณะที่หล่อนกำลังทำอาหาร
เทคนิคการจำดี ๆ เครดิตจาก (ภาษาอังกฤษอนนไลน์.com)
ในเมื่อเราจำได้แล้ว ลองมาทำแบบทดสอบดูครับ ผมขอเน้นว่าต้องลองฝึกครับอ่านอย่างเดียวรับรองไม่เข้าใจแน่นอน คลิ๊กที่นี่ครับ
เลือกเรียนภาษาอังกฤษ ESL Language in Los Angeles เลือกเรียนที่ Hollywood College ครับ
วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557
American Pronunciation มาฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้องกันเถอะ
มาฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้องกันเถอะ
ตอนมาเรียนที่อเมริกาตอนแรก ๆ ผมรู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องการการสื่อสารกับฝรั่งเป็นอย่างมาก หลังจากการอยู่มาหลายเดือนทำให้ผมสรุปได้ว่า สาเหตุที่แท้จริง ที่ผมไม่เข้าใจว่าฝรั่งพูดว่าอะไร เนื่องจากการออกเสียงของผมนั้นยังไม่ถูกเป็นอย่างมาก ดังนั้นผมจึงอยากจะทำสรุปเกี่ยวกับการออกเสียงที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้สนใจอยากฟังพูดว่าอะไร ฟังแล้วเข้าใจดีขึ้นเหมือนผมบ้าง
วันนี้ ตอนแรกขอเสนอคำศัพท์ที่ผมอ่านผิดแบบคนละเรื่องคือ
คำว่า Valley คำนี้คนไทยส่วนใหญ่จะอ่านออกเสียงว่า วัลเลย์ แต่ จริงๆ ที่ถูกคือ แวลลีย์(เวลาพูดให้งอลิ้นแล้วลงท้ายเอาลิ้นไปแตะฟันบน)
เรื่องการออกเสียงลดรูปของ -ing
1. I 'm trying to finish my homework
ปกติ เราจะอ่านว่า อาร์ม ทะรายอิ่ง ทู ฟินิช มาย จ๊อบ
แต่ที่ถูกต้องคือ อาร์ม ทรายอิน ทู ฟินิช มาย จ๊อบ
ให้ออกเสียง trying เพียงแค่ครึ่งเสียง เป็น tryin
2. I 'm fixing my car
ปกติ เราจะอ่านว่า อาร์ม ฟิกซิ่ง มาย คาร์
แต่ที่ถูกต้องคือ อาร์ม ฟิกซิ่น มาย คาร์
ให้ออกเสียง fixing เพียงแค่ครึ่งเสียง เป็น fixin
3. She's working in her garden
ปกติ เราจะอ่านว่า ชีสส เวิคกิ้ง อิน เฮอ คาร์เด้น
แต่ที่ถูกต้องคือ ชีสส เวิคกิ้น อิน เฮอ คาร์เด้น
ให้ออกเสียง working เพียงแค่ครึ่งเสียง เป็น workin
4. We're going to the movies.
ปกติ เราจะอ่านว่า เวอร์ โกอิ้ง ทู เดอะ มูวีสส
แต่ที่ถูกต้องคือ เวอร์ โกอิ้น ทู เดอะ มูวีสส
ให้ออกเสียง working เพียงแค่ครึ่งเสียง เป็น workin
ตอนมาเรียนที่อเมริกาตอนแรก ๆ ผมรู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องการการสื่อสารกับฝรั่งเป็นอย่างมาก หลังจากการอยู่มาหลายเดือนทำให้ผมสรุปได้ว่า สาเหตุที่แท้จริง ที่ผมไม่เข้าใจว่าฝรั่งพูดว่าอะไร เนื่องจากการออกเสียงของผมนั้นยังไม่ถูกเป็นอย่างมาก ดังนั้นผมจึงอยากจะทำสรุปเกี่ยวกับการออกเสียงที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้สนใจอยากฟังพูดว่าอะไร ฟังแล้วเข้าใจดีขึ้นเหมือนผมบ้าง
วันนี้ ตอนแรกขอเสนอคำศัพท์ที่ผมอ่านผิดแบบคนละเรื่องคือ
คำว่า Valley คำนี้คนไทยส่วนใหญ่จะอ่านออกเสียงว่า วัลเลย์ แต่ จริงๆ ที่ถูกคือ แวลลีย์(เวลาพูดให้งอลิ้นแล้วลงท้ายเอาลิ้นไปแตะฟันบน)
เรื่องการออกเสียงลดรูปของ -ing
1. I 'm trying to finish my homework
ปกติ เราจะอ่านว่า อาร์ม ทะรายอิ่ง ทู ฟินิช มาย จ๊อบ
แต่ที่ถูกต้องคือ อาร์ม ทรายอิน ทู ฟินิช มาย จ๊อบ
ให้ออกเสียง trying เพียงแค่ครึ่งเสียง เป็น tryin
2. I 'm fixing my car
ปกติ เราจะอ่านว่า อาร์ม ฟิกซิ่ง มาย คาร์
แต่ที่ถูกต้องคือ อาร์ม ฟิกซิ่น มาย คาร์
ให้ออกเสียง fixing เพียงแค่ครึ่งเสียง เป็น fixin
3. She's working in her garden
ปกติ เราจะอ่านว่า ชีสส เวิคกิ้ง อิน เฮอ คาร์เด้น
แต่ที่ถูกต้องคือ ชีสส เวิคกิ้น อิน เฮอ คาร์เด้น
ให้ออกเสียง working เพียงแค่ครึ่งเสียง เป็น workin
4. We're going to the movies.
ปกติ เราจะอ่านว่า เวอร์ โกอิ้ง ทู เดอะ มูวีสส
แต่ที่ถูกต้องคือ เวอร์ โกอิ้น ทู เดอะ มูวีสส
ให้ออกเสียง working เพียงแค่ครึ่งเสียง เป็น workin
วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557
Install SLIMS to Full Backup.
First step is download and installation Dropbox program.
1. First Step Go to www.dropbox.com to download dropbox.exe and right click open to installation program
13. open web browser type http://localhost to test,a web browser appears as this picture is meaning has been successfully.
15. Copy / Cut the extracted folder and paste in the htdocs folder in XAMPP.
1. First Step Go to www.dropbox.com to download dropbox.exe and right click open to installation program
2. If installation is done, You must sign up first
3.Config path to store your data to E:/dropbox or your destination folder.
Second step is download and installation Xampp.
4. Go to https://www.apachefriends.org/download.html to download XAMPP and installation XAMPP follow this picture press Next.
5. You see select option press Next.
6. Original Destionation XAMPP path is C:/xampp.
7. You must change destination folder to D:/dropbox/xampp or your destination folder(your path dropbox install )
8. After that a notification would appear BitNami and please click Next
9. XAMPP is ready to install, click Next to begin
10. Let's wait a minute, the installation processing.
11. Finally the finished installation will appear here notify if you want to bring up the XAMPP control panel if so just click Finish
12. Press start apache and appserv.
13. open web browser type http://localhost to test,a web browser appears as this picture is meaning has been successfully.
Third step is Download and config SLIMS
14. Go to http://slims.web.id/landing/ and extract the source code files that have been downloaded Slims
16. Open web browser typing http://localhost/cendana.
17. On the Welcome page to Slims Installer exactly in the existing posts in the Database Name (must be set before running this installation) which is approximately artinay we have to create a database before the installation process begins
18. Because required as above and therefore let us make the database by typing the first slims http: // localhost/phpmyadmin in web browser
19. In the database column name fill the database name to be created here call him "cendana" and click create, as shown in the following
20. If the database has been made in accordance with these requirements let us return to the Welcome page to Slims installer by typing http://localhost/cendana. in web browser and click on Let's Start The Installation input following form and then click Continue.
21. And the result is as follows, for that is begging please click OK, Start the slims
22.Slims are ready to install and use.
23. Please log in to librarian log in .
24. already entered there was a warning that says that the PATH for the mysqldump program is not right! Please check the configuration file or you will not be Able to do any database backups will create a database backup can not be done.
25. edit some commands on files that exist in the cendana folder open file sysconfig.inc.php in folder htdocs
26. Go to /* DATABASE BACKUP config */ section
27. Change the position of the existing mysqldump with the current position, do not forget to save.
28. Back again to the web browser, now try reloading the page admin warning that was not going to show up again.
Thus the whole process has been completed and we have Slims backup by Dropbox itself,
Credit by http://forum.slims.web.id/viewtopic.php?f=38&t=573
วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557
Noun Clause Beginning The Question Word (Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วยประโยคคำถาม)
Noun Clause Beginning The Question Word (Noun Clause ที่ขึ้นต้นด้วยประโยคคำถาม)
ทำหน้าที่เสมือนเป็นคำนาม แต่เป็น NOUN CLASES ที่ทำหน้าที่ด้วยด้วยคำที่ขึ้นต้นด้วยประโยคคำถาม จำพวก what,when,where,why,who,whose,which,how,how much,how many เป็นต้นNOUN CLASES ชนิดที่นำหน้าด้วย Question words
ก. ทำหน้าที่เป็นประธาน
ตัวอย่าง
What he is doing annoys me.
ประธาน กริยา กรรม
What she has said makes him angry.
How he disappeared was a mystery.
ข. ทำหน้าที่เป็นกรรม
ตัวอย่าง He does not know how many shirt he has.
ประธาน กริยา กรรม
I asked her who borrwed her car.
I know which car belongs to Geroge.
Suda always belives what Thada says.
I want to know why he did not come yesterday.
I couldn't hear what he said.
ถ้าหากเราสังเกตุบ่อย ๆ เราจะพบว่าพวก noun clauses จะเป็นกรรมของกริยาที่ตามปกติต้องมีกรรมมาต่อท้าย เช่น know,tell,beliive เป็นต้น นอกจากนี้เราจะสังเกตเห็นว่าการเรียงลำดับใน noun clases ที่ขึ้นต้นด้วย Question words นั้นมีการเรียงคำแบบประโยคบอกเล่า คือ Question word + ประธาน + กริยา + กรรม
ตัวอย่าง การแปลงจากประโยค คำถามได้แก่
Question Noun Clause
Where does she live ? ---> I don't know where she lives.
What did he say ? I couldn't hear what he said.
when do they arrive Do you know when they arrive.
ในกรณีที่คำถามทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
ในกรณีที่คำถาม(Question Word) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค ในรูปของ Noun Clause จะคงรูป และลำดับของประโยคเหมือนกับประโยคคำถาม ตามตัวอย่างด้านล่าง
Question Noun Clause
S V S V
Who lives there ? I don't know who lives there.
what happened ? Please tell me what happened
who is at the door? I wonder who is at the door.
ในกรณีที่คำถามไม่ได้ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
ในกรณีที่คำถาม(Question Word) ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค ในรูปของ Noun Clause จะสลับตำแหน่งให้คำที่เป็นประธานของประโยคขึ้นต้นแล้วตามด้วยกริยาคำถาม ตามตัวอย่างด้านล่าง
Question Noun Clause
V S S V
who is she ? I don't know who she is.
who are those men ? I don't know whose those men are.
whose house is that ? I wonder whose house that is.
ตัวอย่างคำถามที่ใช้ when/go ในรูปของอดีต
Where did you go after class yesterday ?
You want to know where I went after class yesterday
ตัวอย่างคำถามที่ใช้ How far/it
A: How far is it from เรียนภาษา อเมริกา ค่าใช้จ่ายเท่าไร แพงไหม ?
สำหรับ น้อง ๆ เพื่อน ๆ ที่ถามมาว่าอยากมาเรียนภาษาที่อเมริกาจัง แต่คงไม่มีโอกาส ผมขออธิบายแบบนี้นะ ครับ จริง ๆ แล้วการขอวีซ่าเพื่อมาเรียนต่อหรือการติดต่อโรงเรียนที่อเมริกานั้นไม่ยากเลย ผมก็เลยสรุปแบบคำถามคำตอบให้เลย
1.Q: ต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อย เท่าไร ?
A: มีเงินนอนในบัญชีขั้นต่ำ 20,000$ หรือ ประมาณเงินไทยประมาณ 600,000 บาท ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินของตัวเองก็ได้ เป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องก็ได้ เงินจำนวนนี้ไม้ได้ถูกกักเงินแต่อย่างใด แต่เงินจำนวนแค่เป็นเครื่องยืนยันว่าคุณมีพอที่จะสามารถมาเรียนได้ โดยไม่มาเป็นโรบินฮู๊ด บ้านเขา
2. แล้วเงินที่ต้องใช้จ่ายครั้งแรกละเท่าไร ?
A: เงินค่าใช้จ่ายตอนแรกก็จะมีค่า SEVIS FEE 200$ หรือประมาณเงินไทยประมาณ 6,000 บาท ค่าสัมภาษณ์ที่สถานฑูตประมาณ 5,000 บาท แล้วก็ค่าตั่วเครื่องบินไป-กลับ ประมาณ 40,000 บาท และสุดท้ายคือค่าใบสมัครเรียนเพื่อให้ทางโรงเรียนออกใบ I-20 ค่าใบสมัครบวกค่าส่งประมาณ 4,500 บาท รวม ๆ กับค่าใช้จ่ายเรื่องค่าที่พักที่ต้องติดตัวมาตอนแรกด้วยก็ไม่เงิน 100,000 บาทครับ
3. แล้วค่าเรียนภาษา ESL ที่ อเมริกา แพงไหม ?
A: ราคาขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ ประการแรก มาแบบหาที่เรียนเอง หรือผ่านนายหน้า ถ้าผ่านนายหน้าแพงครับ เสียประมาณ 4,000-8,000 $ แต่แบบนี้มีข้อดีคือเขาจัดการให้เราหมด แต่ถ้าสมัครเรียนเอง ก็เข้าแบบประการที่สอง คือ ไปเรียนที่เมืองไหนของอเมริกา ถ้า Los Angeles, New York ไม่แพงครับ ค่าเรียนสามเดือน 1,000 -2,000 $ ราคาพอ ๆ กับเรียนภาษาที่เมืองไทย ขึ้นอยู่กับโรงเรียน ครับ ประการสุดท้าย เลือกเรียนมหาวิทยาลัยหรือเรียนแค่วิทยาลัย ถ้าเรียน college ถูกมาก สามเดือน ราคาประมาณ 1,000$ หรือประมาณ 30,000 บาท ตกเดือนละ 10,000 บาท
4, แล้วหารายได้อย่างไร หางานทำยากไหม ?
A: จริง ๆ แล้วหางานทำไม่ยากเลยครับขึ้นอยู่ว่าคุณยอมลำบากไหม ถ้าทำได้ทุกอย่างก็ต้องไปทำงานในครัวตกวันละ 60$ นี่คือขั้นต่ำ ที่แย่สุด ๆ ละ เดือน ๆ หนึ่งก็ได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 $ ถามว่าพออยู่ได้ไหมก็พออยู่ได้แต่ไม่มีเงินเก็บครับ
5. รายจ่ายแต่ละเดือนเท่าไร
A: รายจ่ายแต่ละเดือนก็คือมี 1.ค่าเช่าห้องต่อเดือนเดือนละประมาณ 550$ หรือ 15,000 บาท 2.ค่าเรียนภาษาจริงๆ แล้วต้องจ่ายสามเดือน แต่เราต้องเก็บไว้แต่ละเดือนคือ เดือนละ 350$ หรือประมาณ 10,000 บาทหรือมากกว่านั้น นอกนั้นก็เป้นพวกค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าใช้จ้ายก็มีอีกประมาณ 10,000 บาท
6.พูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง แล้วติดต่อกับทางโรงเรียน ที่อเมริกายังงัย
A: จริง ๆ แล้ว มีหลายโรงเรียนนะครับ ที่มีเจ้าหน้าที่เป็นคนไทย สามารถคุยกับเจ้าหน้าที่ได้โดยตรงหรืออีเมล์ถามเจ้าหน้าที่คนไทยก็ไ้ด้เลย แต่ถ้าใครสงสัยอะไร เข้าที่ไปเว็บโรงเรียน http://hollywoodcollege.edu/ โรงเรียนราคาไม่แพงแล้วก็มีเจ้าหน้าที่คนไทย ถามตอบได้ครับ หรือถามผมโดยตรงได้เหมือนกันครับ
1.Q: ต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อย เท่าไร ?
A: มีเงินนอนในบัญชีขั้นต่ำ 20,000$ หรือ ประมาณเงินไทยประมาณ 600,000 บาท ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินของตัวเองก็ได้ เป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องก็ได้ เงินจำนวนนี้ไม้ได้ถูกกักเงินแต่อย่างใด แต่เงินจำนวนแค่เป็นเครื่องยืนยันว่าคุณมีพอที่จะสามารถมาเรียนได้ โดยไม่มาเป็นโรบินฮู๊ด บ้านเขา
2. แล้วเงินที่ต้องใช้จ่ายครั้งแรกละเท่าไร ?
A: เงินค่าใช้จ่ายตอนแรกก็จะมีค่า SEVIS FEE 200$ หรือประมาณเงินไทยประมาณ 6,000 บาท ค่าสัมภาษณ์ที่สถานฑูตประมาณ 5,000 บาท แล้วก็ค่าตั่วเครื่องบินไป-กลับ ประมาณ 40,000 บาท และสุดท้ายคือค่าใบสมัครเรียนเพื่อให้ทางโรงเรียนออกใบ I-20 ค่าใบสมัครบวกค่าส่งประมาณ 4,500 บาท รวม ๆ กับค่าใช้จ่ายเรื่องค่าที่พักที่ต้องติดตัวมาตอนแรกด้วยก็ไม่เงิน 100,000 บาทครับ
3. แล้วค่าเรียนภาษา ESL ที่ อเมริกา แพงไหม ?
A: ราคาขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ ประการแรก มาแบบหาที่เรียนเอง หรือผ่านนายหน้า ถ้าผ่านนายหน้าแพงครับ เสียประมาณ 4,000-8,000 $ แต่แบบนี้มีข้อดีคือเขาจัดการให้เราหมด แต่ถ้าสมัครเรียนเอง ก็เข้าแบบประการที่สอง คือ ไปเรียนที่เมืองไหนของอเมริกา ถ้า Los Angeles, New York ไม่แพงครับ ค่าเรียนสามเดือน 1,000 -2,000 $ ราคาพอ ๆ กับเรียนภาษาที่เมืองไทย ขึ้นอยู่กับโรงเรียน ครับ ประการสุดท้าย เลือกเรียนมหาวิทยาลัยหรือเรียนแค่วิทยาลัย ถ้าเรียน college ถูกมาก สามเดือน ราคาประมาณ 1,000$ หรือประมาณ 30,000 บาท ตกเดือนละ 10,000 บาท
4, แล้วหารายได้อย่างไร หางานทำยากไหม ?
A: จริง ๆ แล้วหางานทำไม่ยากเลยครับขึ้นอยู่ว่าคุณยอมลำบากไหม ถ้าทำได้ทุกอย่างก็ต้องไปทำงานในครัวตกวันละ 60$ นี่คือขั้นต่ำ ที่แย่สุด ๆ ละ เดือน ๆ หนึ่งก็ได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 $ ถามว่าพออยู่ได้ไหมก็พออยู่ได้แต่ไม่มีเงินเก็บครับ
5. รายจ่ายแต่ละเดือนเท่าไร
A: รายจ่ายแต่ละเดือนก็คือมี 1.ค่าเช่าห้องต่อเดือนเดือนละประมาณ 550$ หรือ 15,000 บาท 2.ค่าเรียนภาษาจริงๆ แล้วต้องจ่ายสามเดือน แต่เราต้องเก็บไว้แต่ละเดือนคือ เดือนละ 350$ หรือประมาณ 10,000 บาทหรือมากกว่านั้น นอกนั้นก็เป้นพวกค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าใช้จ้ายก็มีอีกประมาณ 10,000 บาท
6.พูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง แล้วติดต่อกับทางโรงเรียน ที่อเมริกายังงัย
A: จริง ๆ แล้ว มีหลายโรงเรียนนะครับ ที่มีเจ้าหน้าที่เป็นคนไทย สามารถคุยกับเจ้าหน้าที่ได้โดยตรงหรืออีเมล์ถามเจ้าหน้าที่คนไทยก็ไ้ด้เลย แต่ถ้าใครสงสัยอะไร เข้าที่ไปเว็บโรงเรียน http://hollywoodcollege.edu/ โรงเรียนราคาไม่แพงแล้วก็มีเจ้าหน้าที่คนไทย ถามตอบได้ครับ หรือถามผมโดยตรงได้เหมือนกันครับ
7. ทำเอกสารขอวีซ่ายุ่งยากไหม
A: จะบอกว่าไม่ยุ่งยากก็ไม่ใช่ครับเพราะ ตั้งแต่ ที่ผมยื่นวีซ่ามา อเมริกา ขอยากที่สุด ซึ่งผมต้องสัมภาษณ์ถึงสองครั้งถึงจะผ่าน แต่อย่าเพิ่งท้อครัง เพราะส่วนใหญ่ช่วงนี้ขอมาเรียนส่วนใหญ่รอบแรกจะตก ยกเว้นเอกสารคุณดีหรือดวงดี สัมภาษณ์เจอคนง่ายใจดี ส่วนเรื่องกรอกข้อมูลเอกสารหาในเว็บครับเยอะแยะเลย
ส่วนคำถามอื่น ๆ นึกได้แล้วเดี๋ยวมาเติมให้นะครับ
Hollywood College is best ESL Language School (www.hollywoodcollege.edu)
Hollywood College is best ESL Language School (www.hollywoodcollege.edu)
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
การใช้ Gerund ในภาษาอังกฤษ
Gerunds (เจอรันส์) เป็นกริยารูปหนึ่งที่ลงท้ายด้วย ing และทำหน้าที่เป็น
คำนาม (noun) ฉะนั้นตำแหน่งของคำกริยาประเภทนี้ในประโยคคือ ประธาน
(subject) กรรมตรง (direct object) ประธานเสริม (subject complement)
และกรรมของบุพบท (object of preposition)
verb gerund
ยกตัวอย่างเช่น I enjoy walking in the park
จากตัวอย่าง walking คือ gerund โดยมันจะทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยาซึ่งในประโยคนี้ก็คือ enjoy
โดยคำกริยาทั่วไปที่นำหน้า gerund ได้แก่
enjoy I enjoy walking in the park.
finish Ann finish studying at midnight.
quit David quit smoking.
mind Would you mind opening the window ?
postpone I postpone doing my homework.
put off I put off doing my homework.
keep(on) Keep(on) working.Don't stop.
consider I 'm considering going to Hawaii.
Think about I'm think about going to Hawaii.
Discuss They discussed getting a new car.
talk about They talk about getting a new car.
นอกจากประโยคที่ยกตัวอย่างมายังมีคำกริยาดังต่อไปนี้
admit (ยอมรับ) appreciate (ซาบซึ้ง) avoid (หลีกเลี่ยง)
compare (เปรียบเทียบ) confess (สารภาพ) consider (พิจารณา)
delay (ทำให้ช้า) deny (ปฏิเสธ) detest (รังเกียจ)
dislike (ไม่ชอบ) enjoy (สนุก) escape (หลบหนี)
excuse (แก้ตัว อ้าง) fancy (นึก จินตนาการ) finish (เสร็จ)
forgive (ยกโทษ) imagine (จินตนาการ) involve (เกี่ยวข้อง)
mention (อ้างถึง) mind (รังเกียจ) miss (พลาด)
practice (ฝึกฝน) postpone(เลื่อน) recognize (จำได้)
recollect (ย้อนระลึก) report (รายงาน) resent (ขุ่นเคือง)
resist (ต้านทาน) risk (เสี่ยง) suggest (แนะนำ)
stop (หยุด)
บรรณานุกรรม
1. http://www.engisfun.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-gerunds/
2. http://pimpapim225.wordpress.com/2011/01/10/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-gerund/
3. Fundamental of English grammar fourth edition.
Hollywood College is best ESL Language School (www.hollywoodcollege.edu)
verb gerund
ยกตัวอย่างเช่น I enjoy walking in the park
จากตัวอย่าง walking คือ gerund โดยมันจะทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยาซึ่งในประโยคนี้ก็คือ enjoy
โดยคำกริยาทั่วไปที่นำหน้า gerund ได้แก่
enjoy I enjoy walking in the park.
finish Ann finish studying at midnight.
quit David quit smoking.
mind Would you mind opening the window ?
postpone I postpone doing my homework.
put off I put off doing my homework.
keep(on) Keep(on) working.Don't stop.
consider I 'm considering going to Hawaii.
Think about I'm think about going to Hawaii.
Discuss They discussed getting a new car.
talk about They talk about getting a new car.
นอกจากประโยคที่ยกตัวอย่างมายังมีคำกริยาดังต่อไปนี้
admit (ยอมรับ) appreciate (ซาบซึ้ง) avoid (หลีกเลี่ยง)
compare (เปรียบเทียบ) confess (สารภาพ) consider (พิจารณา)
delay (ทำให้ช้า) deny (ปฏิเสธ) detest (รังเกียจ)
dislike (ไม่ชอบ) enjoy (สนุก) escape (หลบหนี)
excuse (แก้ตัว อ้าง) fancy (นึก จินตนาการ) finish (เสร็จ)
forgive (ยกโทษ) imagine (จินตนาการ) involve (เกี่ยวข้อง)
mention (อ้างถึง) mind (รังเกียจ) miss (พลาด)
practice (ฝึกฝน) postpone(เลื่อน) recognize (จำได้)
recollect (ย้อนระลึก) report (รายงาน) resent (ขุ่นเคือง)
resist (ต้านทาน) risk (เสี่ยง) suggest (แนะนำ)
stop (หยุด)
บรรณานุกรรม
1. http://www.engisfun.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-gerunds/
2. http://pimpapim225.wordpress.com/2011/01/10/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-gerund/
3. Fundamental of English grammar fourth edition.
Hollywood College is best ESL Language School (www.hollywoodcollege.edu)
วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557
Modal Auxiliary Verbs กริยาช่วย
Modal Auxiliary Verbs ก็คือ กริยาช่วย มีทั้งหมด 13 ตัวด้วยกัน โดยแต่ละตัวนั้นมีความหมาายและการใช้ที่แตกต่างกันออกไป การใช้งานมีตั้งแต่ในรูปประโยคบอกเล่า [Affirmative sentence] คำถาม [Interrogative sentence] ปฏิเสธ [Negative sentence] นั้นมีการวางตำแหน่งประธานและ Modal verbs กันอย่างไร สำหรับโครงสร้างต่างๆนั้นสามารถแสดงได้ดังต่อไปนี้
รูปประโยคบอกเล่า [Affirmative sentence]
การใช้งานในรูปประโยตบอกเล่ามีอยู่ 2 แบบ
1. แบบแรกคือ Auxiliary+The simple form of a Verb
Can Olga can speak english.
Could He couldn't come to class.
may It may rain tomorrow.
might It might rain tomorrow.
should Mary should study harder.
had better I had better study to night.
must Billy! You must listen to me.
will I will be in class tomorrow.
would Would you please close the door ?
2. แบบ Auxiliary หรือกริยาช่วย ตามด้วย to + simple form of a verb
have to I have to study tonight.
have got to I have got to study tonight.
be able to kate is able to study harder.
ought to kate ought to study harder.
รูปประโยคบอกเล่า [Affirmative sentence]
การใช้งานในรูปประโยตบอกเล่ามีอยู่ 2 แบบ
1. แบบแรกคือ Auxiliary+The simple form of a Verb
Can Olga can speak english.
Could He couldn't come to class.
may It may rain tomorrow.
might It might rain tomorrow.
should Mary should study harder.
had better I had better study to night.
must Billy! You must listen to me.
will I will be in class tomorrow.
would Would you please close the door ?
2. แบบ Auxiliary หรือกริยาช่วย ตามด้วย to + simple form of a verb
have to I have to study tonight.
have got to I have got to study tonight.
be able to kate is able to study harder.
ought to kate ought to study harder.
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557
Object of Prepositions คำบุพบท
Object of Prepositions คำบุพบท (ถอดบทเรียนที่ 6-4)
ในหลายประโยคของภาษาอังกฤษมักจะประกอบไปด้วยวลีของบุพบท (preposition phrases)
ยกตัวอย่างเช่น I put her book on the desk
On the desk คือ วลีของบุพบท (preposition phrases) ซึ่ง วลีของบุพบท (preposition phrases) ประกอบด้วย บุพบท และ กรรมของบุพบท โดยกรรมของ บุพบทคือคำนาม
ลิสต์ของคำบุพบท
ในหลายประโยคของภาษาอังกฤษมักจะประกอบไปด้วยวลีของบุพบท (preposition phrases)
ยกตัวอย่างเช่น I put her book on the desk
On the desk คือ วลีของบุพบท (preposition phrases) ซึ่ง วลีของบุพบท (preposition phrases) ประกอบด้วย บุพบท และ กรรมของบุพบท โดยกรรมของ บุพบทคือคำนาม
คำบุพบทแสดงตำแหน่ง (preposition of position/location)
เช่น above ( ข้างบน เหนือ) , across from ( อีกฝั่งหนึ่งของ) , at the top of ( ด้านบนสุดของ) , at the bottom of ( ด้านล่างสุดของ) , at the back of ( ด้านหลัง) , behind/in back of ( ข้างหลัง) , beside ( ข้าง ๆ) between ( ระหว่าง) , by ( ข้าง ๆ ใกล้ ถัดจาก ติดกับ) , in front of ( ข้างหน้า) , in the middle of ( ตรงกลาง) , near ( ใกล้) , next to ( ถัดจาก ติดกับ) , on top of ( บน ด้านบนของ) , opposite ( ตรงข้าม) , underneath ( ข้างใต้ ข้างล่าง) เป็นต้น
ตัวอย่างประโยตที่ใช้คำบุพบท
The light is above the desk.
She lives in the room across from mine.
I put your name at the top of the list.
Can I borrow the book which is at the bottom of the pile?
My husband likes to sit at the back of the cinema.
My son was hiding behind me while playing hide-and-seek with his friends.
The most comfortable chair is the one beside the window
The little girl is sitting between her father and mother.
The big mango tree by the river was blown down last week.
There was a woman standing in front of me.
Henry was sitting alone in the middle of the yard.
My house is near LSI University.
The nearest bank is next to that convenience store.
The secretary started piling the books on top of each other.
The fresh market is opposite the hospital.
I found the key I had lost underneath the newspaper.
She lives in the room across from mine.
I put your name at the top of the list.
Can I borrow the book which is at the bottom of the pile?
My husband likes to sit at the back of the cinema.
My son was hiding behind me while playing hide-and-seek with his friends.
The most comfortable chair is the one beside the window
The little girl is sitting between her father and mother.
The big mango tree by the river was blown down last week.
There was a woman standing in front of me.
Henry was sitting alone in the middle of the yard.
My house is near LSI University.
The nearest bank is next to that convenience store.
The secretary started piling the books on top of each other.
The fresh market is opposite the hospital.
I found the key I had lost underneath the newspaper.
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557
การออกเสียง Can และ Can't ที่ถูกต้อง
การออกเสียง Can และ Can't ที่ถูกต้อง ในสไตล์อังกฤษแบบอเมริกัน (How to tell the difference between CAN and CAN'T in American English pronunciation )
Subject, Verb, and Object ประธาน กริยา และกรรม รูปแบบประโยคในภาษาอังกฤษ (ถอดบทเรียน 6-3)
Subject, Verb, and Object ประธาน กริยา และกรรม รูปแบบประโยคในภาษาอังกฤษ (ถอดบทเรียน 6-3)
ในรูปแบบประโยคภาษาอังกฤษจำเป็นจะต้องมี ประธาน (subject) และ กริยา (verb) อยู่ด้วยกันเสมอ โดยประธานคือ คำนาม ในตัวอย่างที่ (1) : Sun คือคำนาม และกริยาก็คือ Shines
Subject Verb
(1) The Sun Shines
(noun) (verb)
บางครั้ง กริยาก็จะอยู่หน้า กรรมของปรโยค Object (o) และ Object ของประโยคก็คือคำนาม ในตัวอย่างที่ (2) need คือคำกริยาของกรรม water
(2) Subject Verb Object
Plants need Water
(noun) (verb) (noun)
ในรูปแบบประโยคภาษาอังกฤษจำเป็นจะต้องมี ประธาน (subject) และ กริยา (verb) อยู่ด้วยกันเสมอ โดยประธานคือ คำนาม ในตัวอย่างที่ (1) : Sun คือคำนาม และกริยาก็คือ Shines
Subject Verb
(1) The Sun Shines
(noun) (verb)
บางครั้ง กริยาก็จะอยู่หน้า กรรมของปรโยค Object (o) และ Object ของประโยคก็คือคำนาม ในตัวอย่างที่ (2) need คือคำกริยาของกรรม water
(2) Subject Verb Object
Plants need Water
(noun) (verb) (noun)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)